เมนู

4. นันทกเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระนันทกเถระ


[326] เราติเตียนร่างกายอันเต็มไปด้วยของน่าเกลียด มีกลิ่น
เหม็น เป็นฝักฝ่ายแห่งมาร ชุ่มไปด้วยกิเลส มีช่อง 9
ช่อง เป็นที่ไหลออกแห่งของไม่สะอาดเป็นนิตย์ ท่าน
อย่าคิดถึงเรื่องเก่า อย่ามาเล้าโลมอริยสาวกผู้บรรลุอริย-
สัจธรรม ให้ยินดีด้วยอำนาจกิเลส เพราะอริยสาวกของ
พระตถาคตเหล่านั้น ย่อมไม่ยินดีในกามคุณแม้ในสวรรค์
จะป่วยกล่าวไปไยถึงกามคุณ อันเป็นของมนุษย์เล่า ก็ชน
เหล่าใดแลเป็นคนพาล มีปัญญาทราม มีความคิดชั่ว
ถูกโมหะหุ้มห่อไว้แล้ว ชนเหล่านั้นจึงจะกำหนัดยินดีใน
เครื่องผูกที่มารดักไว้ ชนเหล่าใดคาย ราคะ โทสะ และ
อวิชาได้แล้ว ชนเหล่านั้นเป็นผู้คงที่ เป็นผู้ตัดเส้นด้าย
คือตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขาดแล้ว ไม่มีเครื่องผูกพัน
ย่อมไม่กำหนัดยินดีในบ่วงมารนั้น.

จบนันทกเถรคาถา

อรรถกถานันทกเถรคาถาที่ 4



คาถาแห่งพระนันทกเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ธีรตฺถุ ดังนี้. เรื่องนั้น
มีเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตระ

พระเถระแม้นี้ เป็นเศรษฐีมีสมบัติมากในหังสวดีนคร กำลังฟังธรรมใน
สำนักของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ใน
ตำแหน่งอันเลิศ แห่งภิกษุผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย ปรารถนาตำแหน่ง
นั้น จึงบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยผ้ามีราคา 100,000 แล้วได้ตั้งความ
ปรารถนาไว้ และให้การบูชาด้วยประทีป ณ โพธิพฤกษ์แด่พระศาสดา.
จำเดิมแต่นั้นมา ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในกาลแห่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กกุสันธะ ได้เป็นนกการเวกส่งเสียง
กึกก้องไพเราะ กระทำประทักษิณพระศาสดา, ภายหลังเป็นนกยูง มีจิต
เลื่อมใส วันหนึ่งร้องเสียงอันไพเราะขึ้น 3 ครั้ง อยู่ที่ประตูถ้ำอันเป็น
ที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทำบุญในที่นั้น ๆ ด้วยอาการอย่างนี้
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย บังเกิดในเรือนมีตระกูล
ในกรุงสาวัตถี ได้นามว่า นันทกะ เจริญวัยแล้ว ฟังธรรมในสำนักพระ-
ศาสดา ได้ศรัทธาบรรพชาเจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน1ว่า
เราเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้ชูคบเพลิงไว้
3 ดวง ที่ไม้โพธิพฤกษ์ของพระพุทธเจ้า พระนาม
ปทุมุตระ ซึ่งเป็นไม้สูงสุดกว่าไม้ทั้งหลาย ในแสนกัป
แต่ภัทรกัปนี้ เราได้บูชาคบเพลิงใด ด้วยการบูชาคบเพลิง
นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลของการบูชาคบเพลิงเป็น
ทาน เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . ฯลฯ . . .พระพุทธ-
ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว
ดังนี้.

1. ขุ. อ. 33/ข้อ 45.

ก็แลท่านเป็นพระอรหันต์ ยับยั้งอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่วิมุตติ ถูก
พระศาสดาทรงสั่งให้โอวาทภิกษุทั้งหลาย ในอุโบสถวันหนึ่ง ได้ให้ภิกษุณี
500 บรรลุพระอรหัตโดยโอวาทครั้งเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ให้
โอวาทนางภิกษุณี. ภายหลังวันหนึ่ง หญิงผู้เป็นภรรยาเก่าคนหนึ่ง แลดู
พระเถระผู้กำลังเที่ยวบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี ด้วยอำนาจแห่งกิเลสแล้ว
หัวเราะ. พระเถระเห็นกิริยานั้นของหญิงนั้น เมื่อจะกล่าวธรรม โดยยกเอา
การประกาศความเป็นของปฏิกูลแห่งสรีระ จึงได้กล่าวคาถา1ว่า
เราติเตียนร่างกายอันเต็มไปด้วยของน่าเกลียด มีกลิ่น
เหม็น เป็นฝักฝ่ายแห่งมาร ชุ่มไปด้วยกิเลส มีช่อง 9
ช่อง เป็นที่ไหลออกแห่งของไม่สะอาดเป็นนิตย์ ท่าน
อย่าคิดถึงเรื่องเก่า อย่ามาเล้าโลมอริยสาวกผู้บรรลุอริย-
สัจธรรม ให้ยินดีด้วยอำนาจกิเลส เพราะพระอริยสาวก
ของตถาคตเหล่านั้น ย่อมไม่ยินดีในกามคุณแม้ในสวรรค์
จะป่วยกล่าวไปไยถึงกามคุณ อันเป็นของมนุษย์เล่า ก็ชน
เหล่าใดแลเป็นพาล มีปัญญาทราม มีความคิดชั่ว ถูก
โมหะหุ้มห่อไว้แล้ว ชนเหล่านั้นจะกำหนัดยินดี ในเครื่อง
ผูกที่มารดักไว้ ชนเหล่าใดคายราคะ โทสะ และอวิชชา
ได้แล้ว ชนเหล่านั้นเป็นผู้คงที่ เป็นผู้ตัดเส้นด้าย คือ
ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขาดแล้ว ไม่มีเครื่องผูกพัน ย่อม
ไม่กำหนัดยินดีในบ่วงมารนั้น.


1. ขุ. เถร. 26/326.

บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า ธิ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่า น่าติเตียน
อักษร ในบทว่า รตฺถุ กระทำการเชื่อมบท อธิบายว่า น่าติเตียน คือขอ
ติเตียนร่างกายนั้น อันเต็มไปด้วยของน่าเกลียด จงเป็นการติเตียนท่าน
เถิด.
บทว่า ปุเร เป็นต้น เป็นไวพจน์แห่งการร้องเรียก อันแสดงภาวะ
ที่พึงติเตียนหญิงนั้น . บทว่า ปุเร ได้แก่ ในร่างกายอันเต็มไปด้วยของ
อันน่าเกลียดอย่างยิ่ง คือซากศพนานาชนิด ได้แก่ ด้วยของอันไม่สะอาด
มีอย่างต่าง ๆ.
บทว่า ทุคฺคนฺเธ ได้แก่ มีสภาวะมีกลิ่นเหม็น เพราะเต็มไปด้วย
ซากศพนั่นเอง.
บทว่า มารปกฺเข ความว่า เพราะเหตุที่วัตถุอันวิสภาค (ที่เป็นข้าศึก
กัน) ย่อมยังกิเลสมารให้เจริญ เพราะปุถุชนคนบอด มีการใส่ใจโดยไม่
แยบคายเป็นนิมิต และย่อมให้โอกาสแก่เทวบุตรมารเข้าไป. เพราะฉะนั้น
จึงเป็นฝักฝ่ายแห่งมาร. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มารปกฺเข ดังนี้.
บทว่า อวสฺสุเต ความว่า อันชุ่มไปด้วยการไหลออกแห่งกิเลสและ
ด้วยการไหลออกแห่งของอันไม่สะอาด ในที่นั้น ๆ ตลอดกาลทั้งปวง.
บัดนี้ ท่านแสดงถึงฐานะเป็นที่ไหลออกแห่งของอันไม่สะอาดของ
หญิงนั้น ที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยว่า ขี้ตาไหลออกจากตาเป็นต้น.
ก็หญิงนั้น เมื่อรู้ตามความเป็นจริง ซึ่งกายอันมีช่อง 9 ช่อง เต็ม
ไปด้วยของอันไม่สะอาด ไหลออกเป็นนิจด้วยอาการอย่างนี้ อย่าสำคัญการ
หัวเราะการเจรจาการเล่น อันเป็นไปในการไม่รู้ถึงเรื่องเก่าว่า อย่าคิด
สำคัญถึงเรื่องเก่า คืออย่าคิดว่า แม้บัดนี้ เธอจักปฏิบัติอย่างนี้.

บทว่า มาสาเทสิ ตถาคเต ความว่า ท่านอย่าเข้าประเล้าประโลม
ด้วยความดูหมิ่น และด้วยอำนาจกิเลสซึ่งพระอริยสาวก ผู้ดำเนินไปอย่าง
นั้น ด้วยมีมรรคผลเป็นที่มา เป็นอย่างนั้น คือโดยประการนั้น เหมือน
ปกติสัตว์ให้ยินดีว่า พุทธสาวกในปางก่อน มาด้วยความถึงพร้อมด้วย
ธรรมอันเป็นอุปนิสัยฉันใด หรือว่าพุทธสาวกเหล่านั้น ไปคือดำเนิน
ไปด้วยการปฏิบัติชอบฉันใด อนึ่งมาถึง คือบรรลุ ได้แก่ หยั่งรู้ ลักษณะ
อันถ่องแท้แห่งรูปธรรมและนามธรรม และธรรมอันถ่องแท้ คืออริยสัจ
ฉันใด แม้ชนเหล่านี้ก็ฉันนั้น. ท่านกล่าวเหตุแห่งความเป็นผู้ไม่ประเล้า
ประโลมยินดีว่า พระอริยสาวกย่อมไม่กำหนัดยินดีแม้ในสวรรค์ จะป่วย
กล่าวไปไยถึงพวกมนุษย์เล่า ดังนี้ อธิบายว่า พุทธสาวกเหล่านั้น ย่อม
ไม่กำหนัดยินดีในสุข แม้อันพระสัพพัญญูพุทธเจ้าไม่สามารถให้สิ้นลงได้
ด้วยการบอกทางก็ดี ในสวรรค์ก็ดี คือย่อมยังราคะให้เกิด เพราะเห็น
โทษในสังขารทั้งหลายดีแล้ว จะป่วยกล่าวไปไยถึงกามคุณ อันเป็นของ
มนุษย์ อันเป็นเสมือนกองคูถ คือไม่จำต้องกล่าวถึงเลยว่า ไม่กำหนัด
ยินดีในกามคุณนั้น.
บทว่า เย จ โข ความว่า ก็ชนเหล่าใด ชื่อว่าเป็นพาล เพราะ
ประกอบด้วยความเป็นพาล ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาทราม เพราะไม่มีปัญญา
อันมีโอชะเกิดแต่ธรรม ชื่อว่าผู้มีความคิดชั่ว เพราะครุ่นคิดแต่สิ่งที่ชั่ว
โดยคามเห็นในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ชื่อว่าถูกโมหะครอบงำ เพราะเป็นผู้มี
จิตถูกโมหะ คือความไม่รู้ปิดบังไว้ โดยประการทั้งปวง ปุถุชนคนบอด
ก็เช่นนั้น คือเห็นปานนั้น ย่อมกำหนัดยินดีในเครื่องผูกพัน อันสำคัญว่า

เป็นหญิง อันมารซัดไป คืออันมารดักไว้ ได้แก่บ่วงมารนั้น ๆ ได้แก่
กำหนัด ติดอยู่ ข้องอยู่ สยบ หมกอยู่.
บทว่า วิราชิตา ความว่า ก็ชนเหล่าใดคือพระขีณาสพ คาย คือละ
ได้ตัดขาด ราคะ อันมีสภาวะเปลื้องได้ยาก เหมือนเครื่องย้อมที่หยอดด้วย
น้ำมัน โทสะ มีสภาวะประทุษร้าย เหมือนข้าศึกได้โอกาส และ อวิชชา
มีสภาวะไม่รู้ ด้วยการคายด้วยอริยมรรค โดยประการทั้งปวง ชนเหล่านี้
ก็เช่นนั้น ผู้มีตัณหาดุจเส้นด้ายเครื่องนำสัตว์ไปสู่ภพอันตัดได้แล้ว ด้วย
ศัสตราคืออรหัตมรรค ชื่อว่าผู้ไม่มีกิเลสดุจเครื่องผูก เพราะไม่มีเครื่องผูก
แม้ในที่ไหน ๆ นั้นนั่นเอง ย่อมคายบ่วงของมารตามที่กล่าวแล้วนั้น พระ-
เถระแสดงธรรมแก่หญิงนั้น แล้วไป ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถานันทกเถรคาถาที่ 4

5. ชัมพุกเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระชัมพุกเถระ


[327] เราเอาธุลีและฝุ่นทาตัวอยู่ตลอด 55 ปี บริโภคอาหาร
เดือนละครั้ง ถอนผมและหนวด ยืนอยู่ด้วยเท้าข้างเดียว
งดเว้นการนั่ง กินคูถแห้ง ไม่ยินดีอาหารที่เขาเชื้อเชิญ
เราได้ทำบาปกรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติเป็นอันมากเช่น
นั้น ถูกโอฆะใหญ่พัดไปอยู่ ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
ขอท่านจงดูสรณคมน์และความที่ธรรมเป็นธรรมอันดีเลิศ
วิชชา 3 เราได้บรรลุแล้ว เราได้ทำกิจพระพุทธศาสนา
เสร็จแล้ว.

จบชัมพุกเถรคาถา

อรรถกถาชัมพุกเถรคาถาที่ 5



คาถาแห่งท่านพระชัมพุกเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปญฺจปญฺญาส ดังนี้.
เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระเถระแม้นี้ ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน
ก่อสร้างบุญไว้ในภพนั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า
ติสสะ บังเกิดในเรือนมีตระกูล ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา เชื่อพระสัมมา-
สัมโพธิญาณของพระศาสดา ไหว้ต้นโพธิพฤกษ์แล้ว บูชาด้วยการพัดวี.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ใน
กาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ บังเกิดในเรือนมีตระกูล